มงเม่ามันบินเข้ามาตอมกองไฟด้วยความเพลิดเพลินมัวเมา ด้วยเห็นว่าไฟเป็นของวิเศษ และมันจะมีความสุขจากไฟอันนี้ ก็เลยพากันแก่งแย่งแข่งขัน หลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อที่จะมาตอมกองไฟ ผลสุดท้าย ก็ได้แต่ความทุกข์ทรมานจากการมาตอมกองไฟ
เปรียบเสมือนพวกเรา ที่เห็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เรียกว่า “กามคุณ” ว่าเป็นของวิเศษ ว่าชีวิตของเราจะมีความสุข ก็เพราะการสัมผัส และเสพในกามคุณทั้งหลายเหล่านี้ เราก็เลยพากันดิ้นรน ทะเยอทะยาน เพื่อให้ได้ในกามคุณทั้งหลายเหล่านั้น ให้ได้รูป และเสียงที่เราต้องการ ให้ได้กลิ่น รส และสัมผัสที่เราปรารถนา เราก็เลยดิ้นรนทุรนทุรายกันเข้าไป
พอเราได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พวกนั้นมา เราก็เกิดเป็นความหวงแหน เกิดเป็นความกังวล ความอาลัย กอดยึดหวงแหนวิตกกังวลต่อกามคุณทั้งหลายเหล่านั้น แต่ถึงแม้เราจะวิตกกังวลหวงแหนมากขนาดไหนก็ตาม เราก็ไม่สามารถที่จะห้ามการแผดเผาของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ เหมือนกับแมงเม่าที่บินเข้ามาตอมกองไฟ ก็ไม่สามารถห้ามความเร่าร้อนของเปลวไฟ ที่จะมาแผดเผามันได้ และเราก็ไม่สามารถห้ามกามคุณทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ให้มาแผดเผาเราได้เช่นกัน
ผลที่สุดพวกเราก็เลยต้องจมอยู่ในความทุกข์ ติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความโง่เขลา ด้วยความไม่มีธรรมะภายในจิตในใจของเรา
พอเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม มาอบรมจิตอบรมใจของเราแล้ว เมื่อจิตใจของเราไปสัมผัสกับความสงบ ความเบิกบานผ่องใส เราก็มีข้อเปรียบเทียบว่า กามคุณทั้งหลายที่เราหลงเสพหลงยึดยินดีพอใจกัน กับความสงบและความละเอียดที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา อะไรมันจะมีคุณค่ายิ่งกว่ากัน แล้วพวกเราจะเห็นชัดเจนได้เลยว่า ตัวเรานี้โง่งมงายมาหลายภพหลายชาติแล้ว ปล่อยให้กิเลสมันเสกสรรปั้นแต่ง เหมือนกับแมงเม่ามันเข้าใจว่าไฟเป็นของวิเศษ ทีนี้จิตของเรามันก็กลับเห็นเป็นตรงกันข้ามกัน เห็นว่ากามคุณทั้งหลายเป็นโทษเป็นภัยที่ผูกมัดเราไว้ มันไม่ใช่ความสุข มันผูกมัดจิตใจดวงนี้ให้จมอยู่ในวัฏฏะมาหลายภพหลายชาติ จมอยู่ในความทุกข์ทรมานมานานแสนนานแล้ว จิตมันจะเห็นโทษเห็นภัยขึ้นมาชัดเจนเลย”
ที่มา พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม